วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Luther Gulick




                                 Luther Gulick and his work “POSDCORB

ประวัติความเป็นมา
     Luther Halsey Gulick เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 1892 ได้รับปริญญาเอกจาก Columbia University ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt เพื่อปรับโครงสร้างการบริหารของสำนักงานประธานาธิบดีสหรัฐฯ นอกจากนั้นในช่วงปี 1954-1956 เขายังได้เป็นคณะผู้บริหารของ New York City อีกด้วย Gulick ได้ให้นิยาม POSDCORB ซึ่งย่อมาจาก Planning, Organizing, Staffing, Directing, Coordinating, Reporting and Budgeting
 
องค์ประกอบของ POSDCORB
P- Planning หมายถึง การวางแผน ได้แก่ การจัดวางโครงการและแผนงานต่างๆ ขึ้นมาไว้ล่วงหน้า
O-Organizing หมายถึง การจัดองค์การ ได้แก่ การแบ่งงาน การกำหนดส่วนงาน โครงสร้างขององค์การ การกำหนด ตำแหน่งงานต่างๆ พร้อมกับอำนาจหน้าที่
S-Staffing หมายถึง การจัดการเกี่ยวกับตัวบุคคลในองค์การ นับตั้งแต่ การจัดอัตรากำลัง การสรรหา การคัดเลือก การบรรจุแต่งตั้งบุคคล การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง เงินเดือน การโยกย้าย การพัฒนาบุคคลในองค์การเรื่อยไปจนกระทั่งการให้บุคคลพ้นจากตำแหน่ง
D-Directing หมายถึง การอำนวยงาน ได้แก่การทำหน้าที่ในการตัดสินใจ วินิจฉัยสั่งการ การออกคำสั่ง มอบหมายภารกิจการงานไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชา หลังจากนั้นต้องใช้ภาวะของการเป็นผู้นำในการกระตุ้นจูงใจคนให้ยอมรับในผู้บริหาร
Co- Coordinating หมายถึง การประสานงาน ได้แก่ การทำหน้าที่ในการประสานกิจกรรมต่างๆ ที่ได้มีการแบ่งแยกออกไปเป็นส่วนงานย่อยๆ เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถทำงานประสานสอดคล้องกัน และมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
R- Reporting หมายถึง การรายงาน ได้แก่การทำหน้าที่ในการรับฟังรายงานผลการฏิบัติงานของบุคคลและหน่วยงานที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาได้รายงานมา การรายงานถือเป็นมาตราการในการตรวจสอบและควบคุมงานด้วย
B- Budgeting หมายถึง การงบประมาณ ได้แก่ หน้าที่ที่เกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณ การจัดทำบัญชีการใช้จ่ายเงินและการตรวจสอบควบคุมด้านการเงิน การบัญชีของหน่วยงานนั่นเอง

ประโยชน์ของ POSDCORB
       POSDCORB เป็นองค์ประกอบของหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องการบรรลุวัตถุประสงค์ นอกจากนั้นยังใช้ในมิติของการจัดการองค์กรที่มีขนาดใหญ่ได้ เนื่องจากผู้บริหารเพียงคนเดียวอาจไม่มีกำลังหรือเวลามากพอในการจัดการตามหน้าที่ทั้ง 7 ด้านได้ทั้งหมด

ข้อดีและข้อเสีย
      ข้อดี
           1.      การแบ่งหน้าที่ โดยใช้หลักคุณธรรมในการแบ่งงานเป็นสำคัญที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในองค์การ นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นถึงหลักความชำนาญเฉพาะด้าน
           2.      มุ่งเน้นถึงหลักการควบคุม โดยการออกกฎระเบียบและการควบคุมบุคลากรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
    ข้อเสีย
         1.      ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์การลดลงและมาตรฐานนั้น ถูกนำมาใช้เป็นเป้าหมายแทนที่จะใช้กลไกช่วยในการบรรลุเป้าหมาย
         2.      จะมีผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนจำกัด เนื่องจากเวลาและขอบเขตความสามารถในการควบคุมดูแลของผู้บังคับบัญชามีอยู่อย่างจำกัด

การนำไปใช้ประโยชน์
   1. หลักสกาลาร์ หรือสายการบังคับบัญชา 
   2. หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา
   3. หลักช่วงการบังคับบัญชา                    
   4. หลักการเน้นที่จุดสำคัญ          
   5. หลักการจัดแบ่งแผนกงาน       
   6. หลักการเกี่ยวกับหน่วยงานหลักและหน่วยอำนวยการ 7. หลักการเกี่ยวกับศูนย์กำไร

กรณีศึกษา : การนำไปใช้ในการบริหารสถานศึกษา

ในส่วนของการบริหารงานส่วนใหญ่มักจะเป็นหน้าที่ที่สำคัญของผู้บริหารของโรงเรียน หลักในการบริหาร ลำดับแรกครูต้องมีการวางแผน (Planning) เช่นในรายวิชานั้น ครูจะสอนเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องใดบ้าง มีการจัดให้ในห้องเรียนนั้น (Organizing) หาหัวหน้าห้องหรือตัวแทนของนักเรียนในแต่ละคาบ (Staffing) เพื่อเป็นผู้ช่วยครู (Directing) ให้คอยควบคุมดูแลนักเรียนคนอื่นๆ  ช่วยเช็คชื่อ ประสานงาน (Coordinating) ระหว่างครูกับนักเรียน ติดตามเรื่องงานและเรื่องกิจกรรมอื่นๆ ที่ครูอาจจะมีการสั่งไปให้ (Reporting) การที่ครูสามารถใช้นักเรียนเป็นผู้ช่วยจะทำให้ผูกมัดทางใจกับเพื่อนมากกว่า ทำให้นักเรียนที่ทำงานอย่างตั้งใจประกอบการงานเต็มความสามารถและทำด้วยความกระตือรือร้น
 
ขอบคุณที่มาของข้อมูล
คุณสุรเดช  จองวรรณศิริ
 
รวบรวมโดย
นางสาวรุ่งลักษมี  รอดขำ
DBA 04 มหาวิทยาลัยศรีปทุม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น